มาแต่เหตุ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “คำถามนี้ลูกไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ลูกมีปัญหาที่แก้ไม่ได้เลยจริงๆ และลูกก็ไม่กล้าที่จะใส่ชื่อของตัวเองมาถาม ลูกต้องกราบขอขมาหลวงพ่อก่อนเจ้าค่ะ จิตของลูกไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทุกครั้งมันจะเป็นมโนภาพของตัวเองนั่งบนเศียรพระบ้าง หรือบางครั้งทำสมาธิอยู่ เดินจงกรม มันก็หลุดความคิดชั่วเป็นมโนภาพว่าตัวเองทำอะไรอยู่กับพระ
ลูกขอกราบขอขมาอีกครั้งหากเป็นคำถามที่ไม่สมควร และลูกรู้สึกว่าตัวเองปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเลย จะเป็นเพราะจิตที่คิดต่ำหรือเปล่าคะ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ ลูกต้องทำอย่างไรจึงจะแก้ความคิดชั่วตรงนี้ออกไปได้ กราบสาธุ
ตอบ : นี่ เห็นไหม ถ้าภาวนาไปเห็นสภาวะแบบนี้ การเห็นสภาวะแบบนี้ปัญหานี้ปัญหาเดิมๆ แต่คนถาม คนถามใหม่ เพราะคำถามที่แล้ว คำถามก่อนหน้านี้เขาก็เป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็เขียนคำถาม เขียนมารายงานว่า เขาทำความสงบของใจเข้าไป พุทโธๆ เข้าไปแล้วขอขมาลาโทษ จนมันทะลุไปเลย พอทะลุเข้าไปเลย เหมือนกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจมันหลุดไปเลย มันสว่าง มันพอใจ มันมีความสุขของมัน เห็นไหม
คือแบบคนเรามันมีความทุกข์ เช่น ผู้ถาม ถ้าลองสภาวะแบบนี้เกิดกับเราเรามีความทุกข์นะ แต่ก่อนถ้าเรายังไม่มีสติปัญญา ไอ้สิ่งนี้ที่มันคิด เราก็คิดว่ามันเป็นจินตนาการ มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเกิดขึ้นโดยสุดวิสัยที่มันจะเกิดกับใจเรา มันเกิดขึ้น เวลามันเกิดขึ้น มันเกิดกับเรา มันเกิดกับใจคนที่คิด พอใจคนที่คิด สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าคนมีสามัญสำนึกมันก็รู้ผิดชอบชั่วดี มันก็รู้ว่าผิด มันรู้ว่าไม่ดีไง ถ้ารู้ว่าไม่ดี แล้วมันคิดได้อย่างไรล่ะ สภาวะแบบนี้จะทำให้เราทุกข์มาก เราทุกข์มากเพราะเราเป็นคนดี เราตั้งใจทำสิ่งที่ดี
ถ้าตั้งใจทำสิ่งที่ดี ผลตอบสนองมันก็ต้องเป็นดีสิ คนเจตนาดี ทำดีทุกอย่างเลย ทำไมมันมีความคิดอย่างนี้เกิดขึ้นมาล่ะ
ความคิดอย่างนี้มันเกิดขึ้นมามันเป็นของเก่า ของเก่าคือของเดิม เห็นไหมเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจิตเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะฉะนั้น การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่รู้ว่าภพใดชาติใด เพราะว่าเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเกิดมาเป็นชาวพุทธมาตลอดทุกภพทุกชาติไง เวลาเราเกิดมาในภพชาติใดก็แล้วแต่ เราไปถือลัทธิศาสนาใด หรือเรามีความเชื่อสิ่งใด เราทำสิ่งใดไว้บาปกรรมสิ่งนี้มันมีของมันอยู่ ถ้ามีของมันอยู่ ทำสิ่งใดไปแล้ว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ
อวิชชา สิ่งที่เป็นกิเลสอย่างละเอียดมันเป็นอวิชชา มันอยู่ในจิตใต้สำนึกเวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึก เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลง เรารับรู้ได้ แต่สิ่งที่เป็นอวิชชา สิ่งที่เรารู้ไม่ได้มันอยู่ที่จิตใต้สำนึก สิ่งอันนั้นมันซับซ้อนมาๆ ถ้าซับซ้อนมา เวลาถ้าเราจะเริ่มภาวนา ถ้าโดยปกติมันก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ก็สามัญสำนึก มันก็เป็นปกติ แต่เวลาพอเราจะเริ่มภาวนา จิตเราเริ่มภาวนาหรือจิตเราละเอียดเข้าไป มันจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น
ถ้าของเรา จิตของเรา ถ้าสามัญสำนึกของเราคือว่าเราไม่ได้นับถือหรือว่าเราไม่ละเอียดพอ สิ่งที่เกิดขึ้นมา เราคิดเรื่องอื่น มันก็ลืมไป เราพยายามสับหลีกความคิดของเรา พยายามไง มันก็หายไป มันก็เจือจางไป แต่ถ้าเราตั้งใจ เพราะอะไร ภวาสวะ ภพ เวลาแก้กิเลสไปแก้ที่ไหน ก็แก้ที่ใจ แล้วมันอยู่ที่นั่นน่ะ เวลาเข้าไปต้องเข้าไปพบไปเจอมันอยู่แล้ว ถ้าไปพบไปเจอมันอยู่แล้ว เห็นไหม
เวลาวิธีแก้ วิธีแก้ โดยสามัญสำนึกของคน ที่เราภาวนาไม่ลึกซึ้ง เราก็ขอขมาลาโทษไง เวลาเราสวดมนต์ทำวัตร รตนตฺตเย ปมาเทน ทวารตฺตเยน กตํฯขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่ทำมาไม่ว่าภพใดชาติใด ขาดสติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ได้ทำสิ่งนี้ไป แต่ตอนนี้เรามีสามัญสำนึก เราเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร สิ่งที่ทำมาแล้วมันก็เป็นกรรมเก่า เป็นสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ เป็นอดีตที่แก้ไขไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันนี้เราขอแก้ไขในปัจจุบันนี้เรารู้ดีรู้ชั่ว สิ่งใดผิดชอบชั่วดี เราเข้าใจ ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษจากภายนอก
ถ้าขอขมาลาโทษ คนใดทำผิดก็แล้วแต่ เราขอโทษขออภัย ถึงว่าสิ่งที่ทำไปแล้วเป็นกรรมก็เป็นกรรมนะ แต่เราสำนึกได้ สำนึกได้ เป็นสุภาพบุรุษที่ขอโทษเห็นไหม เวลาคนทำผิด เด็กถ้ามันทำผิด “แม่ หนูขอโทษนะ” ไอ้แม่จะตี ตีไม่ลงนะฉะนั้น ทำผิดมานี่มันจะฟาดเลย ถือไม้มาเลย “หนูขอโทษๆ” แม่ก็ต้อง อืม! อย่างไรก็ต้องเห็นใจ
อันนี้เหมือนกัน มันเป็นที่เรา ที่เราแบบว่ามันเข้มข้นเจือจางขนาดไหน กรรมของคนน่ะ ถ้ามันเข้มข้น มันก็ต้องขอขมาลาโทษกัน ต้องจิตสงบเข้าไปแล้วเข้าไปขออภัยกันที่นั่น มันเป็นความทุกข์นะ มันเป็นความทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเรารู้ผิดชอบชั่วดี แล้วเวลามันเป็น โอ้โฮ! มันทุกข์มากเลย
แต่ถ้าเราไม่รู้ผิดชอบชั่วดีนะ ช่างมัน มันไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดา มันก็จบไปนะ แต่ถ้ามีสามัญสำนึก ผิดแล้วทำนี่ แหม! มันเจ็บ มันเจ็บ ถ้ามันเจ็บ เราก็ขอขมาลาโทษของเรา ถ้าขอขมาลาโทษนะ แล้วพยายามทำจิตของเราให้สงบทำจิตใจของเราพัฒนาขึ้นไป
เพราะเขาถามว่า ภาวนาไม่ก้าวหน้าเลย ภาวนาของเขาไม่ก้าวหน้าเลย แล้วเวลาภาวนาไป มันไปรู้ไปเห็น
มันจะไปรู้ไปเห็น แล้วความรู้ความเห็นมันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา นิมิตของคนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลง สมมุติเราเห็นภาพนี้ แล้วเราแก้ไขภาพนี้ได้ มันก็ไปเกิดภาพใหม่
เขาบอกว่า เห็นเป็นเศียรพระ แล้วเห็นตัวเองนั่งอยู่บนเศียรพระ บางทีเห็นพระแล้วเห็นมโนภาพว่าตัวเองไปทำอะไรอยู่กับพระ
มันแปลกๆ ทั้งนั้นน่ะ คำว่า “แปลกๆ” นะ สิ่งที่มันแปลกๆ มันแปลกสำหรับคนอื่นนะ แต่มันไม่แปลกสำหรับคนเห็น เพราะคนเห็นมันเห็นชัดๆ มันแปลกได้อย่างไร ก็เห็นอยู่นี่ ก็เห็นอยู่นี่ ก็ทุกข์อยู่นี่ มันจะไปแปลกตรงไหน แต่คนอื่นไม่เห็นกับเรา แปลกเลย ของมันแปลกๆ อยู่นะ
ฉะนั้น มโนภาพส่วนมโนภาพ เราขอขมาลาโทษ เราขอขมาลาโทษของเราแล้วถ้าทำจิตมันดีขึ้น ถ้าขอขมาลาโทษแล้ว เราสามารถมีโอกาสที่ทำความสงบของใจได้ ถ้าใจสงบแล้วนะ ถ้าตรงนั้น ถ้าจิตสงบแล้ว แล้วไปรับรู้ตรงนั้นนะ จบเลย แก้ได้จบเลย แต่เริ่มต้นที่เราขอขมาลาโทษไป มันเหมือนสามัญสำนึกเหมือนคนขอโทษเรื่อยๆ ไป มันเป็นวิธีแก้นะ วิธีแก้
แล้วคนที่เป็นแบบนี้ มีคนเป็นแบบนี้ คนเคยเป็นแบบนี้ แล้วคนเคยหายจากการเป็นแบบนี้เขียนมาถามนี่แหละ แล้วก็เขียนมารายงานเลยว่า โอ้โฮ! โล่งโถงหมดเลย แล้วสิ่งที่มันคาใจอยู่นี่จบ คนเป็นแบบนี้แก้ไขได้
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันอยู่ที่เหตุ อยู่ที่ปัจจัย สิ่งที่เราไปเห็นมันก็อยู่ที่เหตุเหมือนกัน มันมีที่มาน่ะ มันมีเหตุมีปัจจัย มันถึงมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ไงบางคนที่เขามีสติปัญญา เพราะเขา ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เขาสร้างเหตุคุณงามความดีมา ที่ว่าขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เพราะอะไร เขาสร้างบุญมาทั้งนั้นน่ะ เขาทำของเขามา เขาได้เสียสละของเขามา เขาได้ทำคุณงามความดีของเขามา
ดูสิ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา พระติเตียนเลย บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำเอียงๆ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ของของเขา เขาทำของเขามา เขาทำของเขามา เพียงแต่ว่าเราตั้งให้เขา สมบัติเขาทั้งนั้น
นี่ก็เหมือนกัน มันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราทำของเรามา มันมีที่มาที่ไปที่มาที่ไป มันเกิดขึ้นมา ที่มาที่ไป คนที่ไม่รู้มันก็ยังสะสมไปอย่างนั้น ที่มาที่ไปของคนที่รู้ คนที่รู้ ที่มาที่ไปที่มันไม่ดี เราก็ดัดแปลงให้มันดี ที่มาที่ไปที่มันดีอยู่แล้วเราก็ส่งเสริมให้มันดีขึ้นไป ที่มาที่ไปมันดี เราก็ส่งเสริม เราก็ทำให้มันเจริญงอกงาม ถ้าที่มาที่ไปมันบิดเบี้ยวมา เข็มทิศมันชี้ไปที่ผิด มันพาให้ชีวิตเราไปที่ผิดไง เราก็พยายามอ่านเข็มทิศให้มันถูกต้องแล้วทำของเราให้ดี
ถ้าทำให้ดี ก็เหมือนต้นทุน ต้นทุน บางทีไม่มีต้นทุนมาเลย บางคนติดลบมาบางคนมีทุนมหาศาลเลย นี่เกิดเป็นคนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันที่อำนาจวาสนา ไม่เหมือนกันที่การกระทำ บางคนทำสิ่งใดประสบความสำเร็จไปทั้งนั้นเลย บางคนทำอะไรทุกข์ๆ ยากๆ แต่ก็คนเหมือนกัน เขามีโอกาสเหมือนกันแต่วิธีการที่กระทำมันแตกต่างกัน
อันนี้ก็เหมือนกัน ย้อนมาที่เราไง เขาบอกว่า คำถามนี้ไม่ควรถาม แต่จะถาม
นี่ไง เราก็รู้ว่าคำถามนี้ไม่ควรถาม เพราะขนาดเรารู้เราเห็น เรายังรู้ว่ามันเป็นของไม่สมควร ไม่ควรถาม คำถามที่ไม่ควรถาม แต่จะถาม แล้วถามแล้วมันจะแก้ไขอย่างไร
เพราะเรารู้ นี่ไง ความลับไม่มีในโลก ความลับของใคร คนนั้นน่ะรู้ แล้วมันมีความลับที่ไหนล่ะ แต่เวลาจะถามไปด้วยมารยาท เห็นไหม คำถามนี้ไม่ควรถามแล้วคำถามนี้ถามพระเสียด้วย พระไม่ควรพูดเรื่องลามก เรื่องสิ่งที่ผิดพลาดเลยพระไม่ควรพูด แล้วไปแก้ตรงไหนล่ะ แล้วไปแก้อะไรล่ะ
กิเลสมันร้ายกาจยิ่งกว่านี้อีก ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาถามแล้ว พระก็รู้ว่าเป็นพระสิ่งที่เป็นพระนะ พระถ้ามีศีลมีธรรม พระก็ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง ถ้าว่าไปตามข้อเท็จจริง ถ้าเราแก้ตามข้อเท็จจริงนั้นมันก็แก้ได้ ถ้าพระก็ยังลูบหน้าปะจมูกอยู่โยมถามมาก็ “ไม่เป็นไรๆ วางไว้ เดี๋ยวมันก็หายเอง อย่าไปนึกถึงมัน เดี๋ยวก็จบเอง” เห็นไหม มันก็ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
เป็นจริงก็ต้องเป็นจริงสิ เหตุมันอยู่ที่ไหนก็ไปแก้ที่นั่น ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ที่เหตุนั้น ไอ้นี่เหตุมันมาจากจิตใต้สำนึก เหตุมันเกิดจากกรรม จากเวรจากกรรมของเดิม ถ้าเหตุจากเวรจากกรรมของเดิม เวลาเป็นมนุษย์ขึ้นมา เกิดมาด้วยมีศักยภาพ แล้วตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติด้วย เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันก็ไปเห็นอย่างนั้นน่ะ มันผุดขึ้นมาๆ
ครูบาอาจารย์ท่านผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาเป็นธรรมนะ ผุดขึ้นมาเป็นคุณงามความดี ผุดขึ้นมาเป็นคติธรรมที่เตือนตัวเอง ควรทำอย่างนี้ ไม่ควรทำอย่างนี้ ผุดขึ้นมาๆ แต่เวลาของเราผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาเห็นเศียรพระ เห็นเราไปนั่งบนเศียรพระ นี่มันผุดขึ้นมา
ของที่ผุดขึ้นมา ถ้าผุดขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเป็นของดี เราก็ปลื้มใจ เพราะเป็นธรรมที่มาสอน มาเทศนาว่าการ แต่เวลาผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ว่าเราเคยทำเวรทำกรรมสิ่งใดไว้ มันเป็นแบบว่าจิตของเราติดลบมา ติดลบมา ทั้งที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ติดลบมา ติดลบมาต้องแก้ ชดใช้ตัวแดงให้มันจบ ชดใช้ตัวแดงให้มันจบนะ ทีนี้ก็เงินของเราแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เป็นตัวแดงหมดเลย ต้องชดใช้ก่อนชดใช้เสร็จแล้ว จบตัวแดง ทีนี้ก็เริ่มต้นเป็นของเรา ก็พิจารณา
เราจะพูดให้กำลังใจไง เราสงสารนะ เวลาพูดถึง เพราะว่าเรารู้ว่าเราทุกข์อย่างเรา เรารู้ว่าเราทำผิด คนเรานะ ถ้าสำนึกผิดแล้วมันรู้ว่าผิด มันเสียใจนะ มันเสียใจแล้วมันทำอย่างไรต่อไป
นี่ก็เหมือนกัน ตัวเองเห็นตัวเองรู้ แล้วพูดด้วย คำถามที่ไม่ควรถาม รู้ว่ามันไม่ดี คำถามที่ไม่ควรถาม คือไม่ควรบอกใครเลย ความคิดนี้ไม่ควรบอกใครเลยแต่ก็จะถามเพราะมันทุกข์ มันทุกข์ แล้วจะแก้ไขอย่างไร
ถ้ามันแก้ไข ขอขมาลาโทษ เพราะอะไร เพราะเรายังอ่อนแออยู่ เรายังภาวนาของเรายังไม่ได้อยู่ ขอขมาลาโทษไปเรื่อย ถ้าขอขมาลาโทษไปเรื่อย มันก็มีสติปัญญาให้เราภาวนาได้
ถ้าภาวนา ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ จิตสงบ ระลึกได้ เขาเรียกรำพึง รำพึงเลยนะพอจิตสงบนะ ขอขมาลาโทษ ขอขมาลาโทษ เพราะถ้าสภาวะเป็นอย่างนี้ เกิดจากรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไปประมาท เราไปประมาท ไปทำสิ่งใดไว้ ไม่รู้ว่าชาติใดชาติหนึ่ง
ดูสิ เวลาคนเขาทำบุญกันน่ะ เขาไปทำบุญ ไอ้คนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ติเตียน เวลาคนไปทำบุญกับพระ พระที่ดี คนไปทำบุญกันเยอะแยะ แล้วคนที่เห็นว่าโอ๋ย! ทำไมพวกนี้ นี่เขาติเตียน นั่นน่ะ เวลาถึงเวลาแล้ว เวลาเขาจะทำดีบ้างเขาจะโดน เวลาถึงเวลาแล้วเขาจะทำ มันจะเกิดขึ้น พอเกิดขึ้นมาก็สิ่งนี้ไม่ดีเลย สิ่งที่ไม่ดีเลย เราอย่าไปทำ เราอย่าไปทำ เราทำสิ่งที่ดี
เวลาเห็นเขาไปทำบุญกุศล สาธุ อนุโมทนาไปกับเขา เขายังมีจิตใจที่คิดเสียสละได้ เราต่างหากไม่เคยคิดเสียสละให้ได้อย่างนั้นเลย แล้วเห็นเขาทำกัน แล้วยังไปอิจฉาตาร้อนเขาอีก ยังไปติเตียนเขาอีก ยังไปใส่ความเขา ไปใส่ความเขาใส่ไคล้เขาให้เป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา เวลาเป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา เวร เวลาเวรกรรมมันเกิดขึ้นมา เวลามันให้ผลขึ้นมา คอตก เพราะเราทำมาทั้งนั้น มันเป็นของเรา ถ้าเราไม่ทำ ไม่เกิดขึ้นหรอก แล้วยิ่งเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกนี่ชัดๆ เลย
เวลาคนนู้นว่าเรา คนนี้ว่าเรา ไม่ได้ว่าเรา มันยังมาจากภายนอก โลกธรรม๘ ติฉินนินทานี่มาจากภายนอก เราไม่ได้ทำอย่างนั้น ใครติฉินนินทา เรื่องของเขาแต่เวลามันเกิดขึ้นจากภายใน เกิดขึ้นจากของเรา เกิดขึ้นจากของเราเป็นของเราหรือเปล่า
ก็เกิดมาตั้งแต่ชาตินี้เป็นคนดีมาตลอด ไม่เคยทำสิ่งใดเสียหายเลย เป็นคนดีเกิดมาตั้งแต่พ่อแม่เลี้ยงมา เป็นคนดีมาตลอดเลย ไม่เคยทำชั่วอะไรเลย ทำไมมันคิดอย่างนี้ ก็ทำดีเหมือนกันไง ก็ไม่ได้ทำมาไง แต่ไม่รู้ว่าภพใดชาติใด ชาติใดชาติหนึ่ง มันมีของมัน ถ้าไม่มีของมัน มันเกิดขึ้นมาในใจเราไม่ได้ พูดอย่างนี้เลยถ้าไม่มีเหตุ มันจะเกิดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุ
เพราะเราฟังเรื่องอย่างนี้มาเยอะ เพราะฟังคนที่จิตใจเป็นอย่างนี้มาเยอะ พระก็เป็น โยมก็เป็น แล้วเราก็มาคิดเปรียบเทียบนะ จะมีสิ่งใดก็แล้วแต่ เราจะคอยเปรียบเทียบ เปรียบเทียบ หมายความว่า หาแบบศึกษา
เราไม่เคยมีว่ะ กูไม่เคยเป็น ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย ไม่เคยมีความคิดอย่างนี้เลย ดีอย่างหนึ่ง เออ! เอ็งดีอย่างหนึ่ง เอ็งไม่เคยมี พอไม่เคยมี เราก็ไม่รู้ว่าคนมีเป็นอย่างไรใช่ไหม ไอ้คนที่คิดมันทุกข์อย่างไร แต่ทุกข์
เคยมีพระมาถามปัญหานี้หลายองค์ “เพราะผมก็บวชพระ ผมก็ศรัทธาพระพุทธเจ้านะ ทำไมมันระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็ด่าๆ ด่าอย่างเดียวเลย ผมก็ศรัทธานะ ผมก็อยากจะพ้นทุกข์นะ ผมไม่เคยทำผิดอะไรเลยนะ ทำไมผมเป็นอย่างนี้หลวงพ่อ” มาถามอย่างนี้หลายองค์มาก เราก็แก้ แต่เรื่องโยมก็มี โยมเป็นอย่างนี้ โอ้โฮ! เยอะเลย
แปลกนะ เราเป็นพระที่แบบว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าเป็นเจ๊กก็เป็นเจ๊กอยู่อย่างนี้ คนถึงกล้ามาถามเยอะ เพราะคนมาถาม มาปรึกษาเรื่องนี้เยอะ ฉะนั้นมันเลยซับไว้ที่นี่
คนถึงบอกไง “เอ๊! พระไม่เคยไปไหน รู้เรื่องได้อย่างไรวะ”
ก็เขามาถามกูที่วัด ก็เขามาหากูที่วัดเลย แล้วถามเรื่องนี้เยอะ พอเยอะขึ้นมามันเยอะขึ้นเรื่อยๆ โอ้โฮ! ทีแรกมาถามคนสองคน ก็นึกว่ามันแปลก แต่ดูไปๆเยอะ พอดูไปเยอะปั๊บ เราก็คิดอย่างนี้เลย ดูสมัยพุทธกาลสิ สมัยพระพุทธเจ้าพระพุทธศาสนาเจริญขึ้นมา มันมีลัทธิอื่น มันมีลัทธิอื่น พวกเชน พวกเดียรถีย์มันเต็มไปหมด แล้วในพระไตรปิฎกมันเกิดการปะทะกัน เกิดจากโต้เถียงกัน โต้แย้งกันเยอะมาก แล้วจิตพวกนี้มันเวียนว่ายตายเกิดมาไง
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดมา มันต้องมีที่มาที่ไป ถ้าไม่มีอย่างนี้ มันไม่มีกรณีอย่างนี้ มันต้องมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่ว่าเราเป็นชาวพุทธแล้ว อยู่ในสังคมพุทธแล้วจะเป็นพุทธกันไปหมดไง แล้วดูสิ สังคมอื่นสมัยพุทธกาลน่ะ โอ้โฮ! พวกเดียรถีย์นิมนต์พระไปฉันนะ เขารองแล้วเอาอุจจาระวางใส่ไว้ แล้วเอาไม้พาดไว้ เอาเสื่อปูแล้วนิมนต์พระไปฉัน สุดท้ายแล้วพอพระไปฉัน เขาชักไม้ออก ไม้มันเคลื่อน พระตกลงไปในหลุมมูตรหลุมคูถ ในพระไตรปิฎกเยอะแยะ สมัยนั้นนะ สมัยพุทธกาลอย่าคิดว่าไม่โดนนะ พระโดนเยอะแยะ เพราะพวกเดียรถีย์มันเยอะ มานิมนต์พระไปฉันน่ะ มันแกล้งไง มันจะเอาพระไปประจาน แล้วถ้าพระไม่ทัน นี่สมัยพุทธกาลก็มี เพราะความเชื่อมันแตกต่างกัน
พอความเชื่อมันแตกต่างกันแล้ว ดูสิ นางอะไรที่เอาหมอนใส่ยัดท้องไว้ว่าท้อง นั่นก็เพราะอาจารย์ อาจารย์นั่งคอตกเลย พวกเดียรถีย์เหมือนกัน เพราะพุทธศาสนาเจริญ แล้วพวกญาติโยมไปทั้งหมด แล้วลูกศิษย์เขาเคารพอาจารย์เขา เขาบอกถ้าเคารพอาจารย์เขา ให้ช่วยเขา ให้ช่วยเขา เขาเสียสละชีวิตเลย ช่วยอาจารย์เขา เพราะเชื่อมั่นอาจารย์เขา ก็เข้าไปหาพระพุทธเจ้า
เวลาคนเขากลับจากพระพุทธเจ้า เขาก็เดินสวนเข้าไป แล้วพอคนไป เขาก็เดินสวนออกมา เหมือนกลางคืนมานอนกับพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็เทศน์สอนไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเขาก็เอาหมอนผูกกับท้องไง แล้วก็ไปชี้หน้าพระพุทธเจ้าเลยว่าพระพุทธเจ้าดีแต่สอนคนอื่น แล้วทำหนูท้องอยู่นี่
พระพุทธเจ้าพูดฉลาดมากนะ ไม่ปฏิเสธ พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอกับเรา น้องหญิงกับเรารู้กันสองคน รู้กันสองคน” เพราะอะไร เพราะถ้าท้องไม่ท้อง มันต้องมีผู้ชายสัมพันธ์ใช่ไหม “เธอกับเรารู้กันสองคน” เสร็จแล้วเทวดาทนไม่ไหว ก็แปลงตัวเป็นหนูเข้าไปกัดเชือกหลุดออกมา โอ้โฮ! โดนประชาทัณฑ์ พอเดินออกจากวัดไป ธรณีสูบเลย
นั่นน่ะเขาสละชีวิตเขาให้อาจารย์เขาเลยนะ พวกเดียรถีย์น่ะ แล้วคิดดูสิ เขาสละขนาดนั้นน่ะ เขามีการกระทำ ในสมัยพุทธกาลเรื่องนี้เยอะมากในพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎกมา แล้วพอในปัจจุบันนี้ พอมีใครมีปัญหาอะไรในหัวใจ สิ่งใดที่มันลึกๆ เวลามาพูดให้ฟัง เราพยายามจะหาที่มาที่ไปไงว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างใดมันถึงเกิดสภาวะแบบนี้
ฉะนั้น พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าโยมเป็นนะ เพียงแต่เราบอกว่า ที่มาที่ไป เหตุประวัติศาสตร์มันมีมาอย่างนี้ แล้วมัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว แล้วคนก็เวียนว่ายตายเกิด ถ้า ๑๐๐ ปีก็ ๒๕ ชั่วอายุคน เพราะ ๒,๕๐๐ เวียนว่ายตายเกิดมา ๒๕ ชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา คนเวียนว่ายตายเกิดมา ๕-๖ ครั้ง แล้วถ้าเวียนว่ายตายเกิดมาแบบนี้ ถ้ามันเกิดมากับเราเนาะ ขอขมาลาโทษ เพราะตอนนั้นถ้าเรามีความเชื่อในลัทธิอื่นมันก็เป็นอันหนึ่ง
แต่ถ้าในปัจจุบันนี้เกิดมาพ่อแม่ก็เป็นพุทธ ตระกูลก็เป็นพุทธ หนูเกิดมาเข้าวัดมาตั้งแต่เด็กๆ เลย หนูไม่เคยทำอะไรผิดเลย แล้วมันเกิดมาได้อย่างไร
นี่ชาติปัจจุบัน ชาติปัจจุบันเราเกิดในประเทศอันสมควร เกิดจากพ่อแม่ที่ดีเกิดในชาติตระกูลที่ดี แต่จิตใต้สำนึกๆ เมล็ดพันธุ์ที่มันเพาะมา เมล็ดพันธุ์ที่มันเก็บเกี่ยวมาแต่ภพชาติใดก็ไม่รู้ มันต้องมีของมัน มันถึงแสดงออกมา เพราะมันแสดงออกมาจากจิตใต้สำนึก เวลาภาวนาไปแล้วมันโผล่ขึ้นมา เห็นไหม โผล่เป็นเศียรพระ โผล่เป็นอะไรต่างๆ ขึ้นมา สิ่งนั้นมันเป็นอดีต สิ่งที่เคยทำมา ขอขมาลาโทษเสีย นี่เศษกรรมนะเนี่ย เศษที่เหลือ ขอขมาลาโทษเสีย ขอขมาลาโทษไปเรื่อยแล้วทำความสงบของใจเข้าไป ถ้าใจมันสงบขึ้น มันจะดีขึ้น
น่าสงสารนะ เพราะคำถามกราบขอขมามาตลอด แสดงว่าทุกข์มาก เราสงสารที่ว่าทุกข์มาก แต่ทุกข์ขนาดไหนมันก็ต้องแก้ไข เราต้องแก้ไขให้จบสิ้นกันไป แก้ไขให้ทุกข์เจือจางไป แก้ไขให้หมดเวรหมดกรรมกันไป
ฉะนั้น ที่ว่า “ปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเลย จะเป็นเพราะจิตนี้คิดต่ำหรือเปล่าเจ้าคะมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ ลูกต้องทำอย่างไรเจ้าคะ”
มันคิดต่ำเพราะว่ามันมีกิเลสปิดหูปิดตามันดึงให้คิดต่ำ เราก็ต้องมีสติปัญญาคิดสูง เห็นไหม ดูสิ หลวงตาท่านพูดอยู่ จิตที่สูงกว่าจะดึงจิตที่ต่ำกว่าขึ้น จิตที่สูงกว่าคือจิตคนที่ภาวนาดีกว่าต่างๆ จะชักจูงจิตที่ต่ำกว่าให้ขึ้น
ธรรมะ ธรรมะสัจธรรมเป็นน้ำสะอาด น้ำจืด น้ำใสสะอาด ให้ผลดีแก่ร่างกายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่สะอาดเบาลอยขึ้น เราพยายามคิดตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอขมาลาโทษกับสิ่งที่คิดไม่ดีๆ คิดไม่ดี มันมีที่มา มันมีเหตุมีปัจจัยของมัน แล้วเราก็เอาธรรมะไปชะไปล้าง ธรรมโอสถไง แก้ไขไป
เขาบอกว่าเขาเสียใจมาก ปฏิบัติไม่ก้าวหน้าเลย เป็นเพราะจิตที่มันคิดต่ำหรือเปล่า
จิตมันคิดต่ำ จิตที่มันมีเหตุผลที่เรารู้เท่าทันมันไม่ได้ แต่เราใช้ปัญญาของเราแก้ไข แก้ไขเนาะ มันเป็นทุกข์ เป็นคำถามเดิมๆ อย่างที่ว่ามีคนถามเยอะมาก แต่นี้ถามมาอีกแล้ว คำถามเดิมๆ แต่คนถามคนใหม่ไง ฉะนั้น ที่พูดนี่พูดให้กำลังใจผู้ถาม เพราะเขาพรรณนามาเลย ทุกข์มากๆ
มันเป็นความทุกข์สดๆ ร้อนๆ กับหัวใจดวงนั้น มันไม่ใช่หัวใจดวงอื่นไงหัวใจที่มันคิดนั่นน่ะมันทุกข์ แต่หัวใจที่เขาไม่มี เขาก็ไม่ทุกข์ไง ฉะนั้น หัวใจที่มันทุกข์ เราพูดเพราะเหตุนี้
แต่ถ้าบอกว่า “หลวงพ่อตอบปัญหาเก่าๆ ทั้งนั้นเลย”...ก็เก่าๆ จริงๆ ของเดิมๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ไอ้คนทุกข์มันคนใหม่ ไอ้หัวใจที่ทุกข์นี่หัวใจใหม่ ฉะนั้น แก้ตรงนี้ จบ
ถาม : เรื่อง “ข้อสงสัยในการนั่งสมาธิ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ ลูกมีข้อสงสัยในการปฏิบัติสมาธิ ขอหลวงพ่อเมตตาตอบข้อสงสัยของลูกด้วยเจ้าค่ะ
ปกติลูกจะกำหนดพุทโธพร้อมไปกับลมหายใจเข้าออก มีความสงบระดับหนึ่ง คือลมหายใจแผ่วเบา แต่ก็ยังรับรู้ว่าลมหายใจมีอยู่ จากนั้นจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังมาก พอได้ยินเสียงหัวใจเต้น จิตก็ไปรับรู้ทั้งสองอย่างคือพุทโธและเสียงที่ได้ยิน แต่ลูกพยายามกำหนดให้อยู่กับพุทโธ แต่ใจก็ยังติดกับเสียงนั้น ขอเมตตาหลวงพ่อช่วยชี้แนะในการปฏิบัติต่อไปด้วยเจ้าค่ะ
ตอบ : กำหนดพุทโธ เห็นไหม เขาบอกว่าสงสัยในการนั่งสมาธิ
เราก็นั่งสมาธิ การนั่งสมาธิคือทำความสงบของใจ เราปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อค้นหาความจริง ถ้าค้นหาความจริงมันต้องมี อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันต้องค้นหาตนของเราให้ได้ก่อน
เวลาเรานั่งปฏิบัติ เรานั่งปฏิบัติเพื่อความสงบของใจ เวลานั่ง ถ้าจิตสงบบ่อยๆ ครั้งเป็นสมาธิ สมาธิมันเกิดที่ไหน เกิดที่จิตทั้งนั้นน่ะ เราทำสมาธิ เราก็ค้นหา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราก็พยายามหาตัวตนเราก่อนไง
บอกว่า นี่เพราะมีตัวมีตน เราถึงได้ติดไง
ถ้ามีตัวมีตนก็หาตัวตนให้เจอๆ ก่อน ถ้าไม่มีตัวไม่มีตนเลย ทำอะไรก็ว่างเปล่า ทำอะไรก็เหมือนกับของสาธารณะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะสาธารณะทั้งนั้นน่ะ
แต่นี่เราจะปฏิบัติใช่ไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา เราก็จะหาตัวเรานี่ไงหาตัวเราคือหาตัวตนของเรา ถ้าตัวตนของเรานะ มันปล่อยวางหมด มันก็เป็นตัวตนของเรา มันเป็นสัมมาสมาธิ
ถ้ามันยังมีความคิด มีความทุกข์ความยากอยู่นี่ นี่สาธารณะ สาธารณะเพราะเสวยอารมณ์ไง อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากจิต แล้วเวลามันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็คายพิษให้กับหัวใจเราทั้งนั้นน่ะ มันเกิดอะไรขึ้นมันก็บีบคั้นหัวใจของเรา
เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราอยากจะมีอัตตสมบัติเราอยากจะมีความสุขของเรา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราก็มานั่งสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อจะฝึกหัดใช้ปัญญา
เราประพฤติปฏิบัติกัน เราจะพ้นจากทุกข์ เราไม่ใช่ปฏิบัติเอาสมาธิ แต่มันเป็นพื้นฐานที่เราต้องหาตัวตนของเราให้ได้ก่อน ถ้าไม่มีตัวตนของเรา เราจะไปปฏิบัติอะไร เราจะไปทำสิ่งใด เราจะทำสิ่งใดมันต้องมีเจ้าของสิ ใครเป็นผู้ใช้สิทธิ์ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ ใครเป็นผู้ถือครองสิทธิ์นั้น เราก็พยายามหาตัวตนของเรา ถ้าหาตัวตนของเรา เราก็จะเริ่มทำคุณงามความดีของเรา
ถ้าความดีของโลก ที่เราทำกันอยู่นี่ เราว่าเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคน ความคิดเราได้แค่นี้ เราก็ทำสมบัติของเราได้แค่นี้ แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราทำความสงบของใจเข้ามา จิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา นี่สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ กรรมฐาน พระกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน
คนจะเริ่มต้น เริ่มต้นจากตัวตนของเรา เริ่มต้นจากคุณงามความดี เริ่มต้นจากตัวตนของเรา แต่เวลาทำบุญกุศล ทำบุญโดยความเป็นมนุษย์ แต่ถ้าภาวนาขึ้นมา เราต้องเข้าไปหาสู่จิตของเรา ถ้าหาสู่จิตของเรา เราทำความสงบของใจของเรา ถ้าทำสมาธิ
นี่เขาบอกว่า เวลาทำสมาธิ เขากำหนดพุทโธพร้อมลมหายใจเข้าออก พอพุทโธเข้าไป พอลมหายใจมันเริ่มเบาลง มันเริ่มดีขึ้น มันไปได้ยินเสียงหัวใจเต้นเต้นแรงมาก เต้นดังมาก ตอนนี้เลยเป็นปัญหาแล้ว เป็นปัญหาว่าจะพุทโธด้วย จะมีเสียงเต้นของหัวใจด้วย มันเลยรับรู้ ๒ อย่าง แล้วทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ
มันเป็นเรื่องแปลก มันเป็นเรื่องแปลกที่เวลาคนปฏิบัตินะ เวลาคนที่ปฏิบัติเวลาจิตสงบแล้วไปเห็นนิมิตก็อย่างหนึ่ง เวลาคนปฏิบัติ จิตสงบก็สงบไปโดยธรรมดาก็อย่างหนึ่ง ทีนี้พอจิตสงบ จิตของคนเวลามันสงบเข้ามา มันเบาบางเข้ามา เขาเรียกชวน คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันชัดเจน มันจะรับรู้อะไร นักปฏิบัติของเราที่มีปัญหากัน มีปัญหาตรงนี้ ถ้าเราไม่ปฏิบัตินะ มันก็อยู่ปกติ เวลาปฏิบัติเสียงอะไรมากระทบหูหมด อะไรมาสะเทือนไปหมด เสียงเขาปิดประตูก็ไม่พอใจเขา นั่งอยู่นี่ เขาเข้าห้องน้ำก็ว่าเขาเข้าห้องน้ำประชดเรา เขาทำอะไรประชดเราหมดเลย เพราะชวนมันดี
นี่ไง พอจิตถ้าภาวนานะ เริ่มต้นทุกคนจะเป็นอย่างนี้ แต่คนที่เป็นอย่างนี้ได้มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าจิตมันจะดีขึ้น เขาเรียกชวนมันดีเสียงใส หูตาดีไปหมด แล้วมีอะไรกระทบกระเทือน กระทบกระเทือน เขาแกล้งเราทั้งนั้น ไม่พอใจเขาไปหมดเลย นี่อันนี้อันหนึ่งใช่ไหม
ฉะนั้น พอจิตเขาดีขึ้น กำหนดพุทโธแล้วมันแผ่วเบาขึ้น ทีนี้มันไปได้ยินเสียงหัวใจเต้นน่ะ เต้นดังมาก
หลวงตาท่านบอก เวลาท่านอยู่ในป่านะ พอจิตมันสงบ มันสงัดมาก จะได้ยินเสียงหมากหัวใจ ท่านใช้คำว่า “หมากหัวใจ” หัวใจมันเต้นตุบตับๆๆ ได้ยิน เราก็เคยเป็น พอจิตมันสงบ จิตมันดีๆ มันจะได้ยินตุบตับๆ เลย ใบไม้ตกนี่ได้ยินเลยนะเสียงทุกอย่างได้ยินหมด ทีนี้พอได้ยินแล้ว ได้ยินแล้วก็คือได้ยินไง ได้ยินแล้วก็สักแต่ว่า ขณะที่ได้ยินมันดี จิตเราดี เราถึงได้ยินอย่างนั้นไง
ทีนี้พอมันได้ยินอย่างนั้นแล้ว อันนี้มันไปยึดเข้าก็เลยเป็นโทษไง
ความได้ยินอย่างนั้นเขาให้รู้แล้วผ่าน นิมิตสิ่งใดเกิดขึ้น รู้แล้ววาง รู้แล้ววางอย่ายึด รู้แล้ววาง ถ้าจิตมันดี รู้แล้วเราก็ผ่านไปๆ ขณะที่ได้ยินนั้นแสดงว่าจิตเราดีจิตเราดีคือว่ามันดีกว่าปกติ มันก็ดีขึ้น แต่พอดีขึ้น มันไปรับรู้อะไรก็แล้วแต่ ถ้ากิเลสมันสวมรอย สวมรอย มันก็ไปยึด พอยึดนะ พอภาวนา พอพุทโธๆ พอมันดีขึ้น เสียงจะมาทันทีเลย เหมือนกับคนนั่ง ถ้านั่งธรรมดาก็ไม่มีอะไรนะ พอนั่งๆ ไปกลืนน้ำลายหนหนึ่ง พอกลืนน้ำลาย อึ๊ก! เท่านั้นล่ะ จบเลย พอจิตสงบ อึ๊ก! จิตนี้ร้ายนัก กิเลสนี้ร้ายนัก มันติดหมดน่ะ มันไปติดไง ทีนี้พอไปติดแล้ว พอไปติดแล้วจะแก้อย่างไร
พุทโธชัดๆ ถ้าจิตมันดี ได้ยินเสียงหัวใจเต้นครั้งแรกคือได้ยิน แต่ถ้าได้ยินครั้งต่อๆ ไป แล้วจิตมันคลายออกมาแล้วได้ยินเสียงหัวใจ มันเป็นสัญญา มันเป็นการคาดหมาย มันไม่เป็นปัจจุบันไง มันเป็นปัจจุบันขณะตอนที่ได้ยินครั้งแรกถ้าจิตสงบแล้วได้ยิน นั่นของแท้ นั่นน่ะมันได้ยินตามข้อเท็จจริง แต่พอได้ยินแล้วมันยึดไง เออ! กูเคยได้ยิน กูเคยได้ยิน มันก็เลยเอาเสียงที่ได้ยินไว้ มันก็เลยเป็นวิบากกับการปฏิบัตินี่ไง
ทีนี้พอปฏิบัติขึ้นมา “หลวงพ่อ ขณะปฏิบัติกำหนดพุทโธด้วย ก็จะได้ยินเสียงด้วย ตุบตับๆ ไปพร้อมกัน แล้วจะให้หนูทำอย่างไรล่ะ ทำอย่างไร”
เวลาถ้าจิตมันดี สงบแล้วได้ยิน มันเป็นการบอกว่าจิตเราดีขึ้น มันเป็นผลดีทั้งนั้นน่ะ แต่ผลดี เวลากิเลสมันไปยึด ของดีๆ มันทำให้ไขว้เขวได้ มันทำให้ล้มลุกคลุกคลานได้ แล้วทีนี้ไปไม่เป็นแล้ว เห็นไหม ต้นคด พอเริ่มต้นคด มันไปไม่ได้แล้ว มันติดขัดไปหมดเลย ต้นคด ปลายตรงไม่มี
ฉะนั้น เราต้องมาดัดตรงต้นให้มันตรง เรากำหนดพุทโธเพื่อความสงบ เราก็กลับไปกำหนดพุทโธให้มันสงบ แล้วพอสงบแล้วก็คือสงบ แล้วถ้ามันจะได้ยิน ถ้าได้ยินในปัจจุบันก็รับรู้แล้วก็ปล่อยวาง พอได้ยินก็คือได้ยิน เพราะจิตมันดีก็ได้ยินหัวใจเต้นก็คือหัวใจเต้น ดีไม่ดีได้ยินเสียงชีพจรเต้นอีกต่างหาก ได้ยินไปหมดนะได้ยิน
เวลาคนจะได้ยิน เพราะอะไร เพราะเวลาอภิญญา เวลาหูทิพย์ โอ้โฮ! มันยิ่งกว่านี้อีก ฉะนั้น คำว่า “ได้ยิน” เราได้ยินโดยความเป็นสามัญสำนึก ความเป็นปกติไง เพียงแต่จิตมันดีขึ้น ถ้าดีขึ้น ขณะได้ยิน เพราะเราจะบอกว่า ได้ยินแล้วเป็นเทวดาหรือ ได้ยินแล้วจะเป็นอะไรล่ะ ได้ยินก็คือได้ยิน ถ้าได้ยินแล้วเป็นได้ยินมันก็จบ ถ้าได้ยินแล้ว ถ้าเป็นโดยกิเลส โดยลบ นี่ไง ติดพันแล้ว เราจะทำอะไรอยู่เสียงนี้มากวนตลอด มันมากวนไง มันมากวน มันมายื้อ มันมาทำลายความเพียรเราไง มันควรจะดีขึ้น
ฉะนั้น วิธีแก้ก็พุทโธชัดๆ แล้ววางไว้ แล้วถ้าวางไว้แล้ว ปุ๊บปั๊บให้หาย ไม่มีหรอก มันจะเริ่มดึงความรู้สึกมาอยู่ที่พุทโธทั้งหมด ค่อยๆ มา ค่อยๆ มา จนเสียงนั้นหายไป จนเสียงนั้นหายไป
แล้วถ้ากิเลสเป็นอย่างนี้นะ มันก็จะไปเกิดอุปสรรคใหม่ข้างหน้า มันจะมีอุปสรรคอย่างอื่นเข้ามาข้างหน้า ก็ต้องแก้ไขไป นี่หญ้าปากคอก ในการปฏิบัติครั้งแรกมันยุ่ง ยุ่งอย่างนี้ มันยุ่งที่ว่า ซ้ายก็ไปไม่ถูก ขวาก็ไปไม่ถูก ไปก็ไปไม่ได้ถอยก็ถอยไม่ได้ แล้วมึงจะทำอย่างไร
“โอ๋ย! ปฏิบัตินี้ยากน่าดูเลย เลิกดีกว่า” ปฏิบัติไปปฏิบัติมานะ “เออ! เลิกดีกว่า จบแล้ว ยุ่งทุกทีเลย ไม่ปฏิบัตินี่ดี๊ดี ไม่ปฏิบัติ สบายใจ โอ้โฮ! ไปไหนมาก็สะดวกสบาย ปฏิบัตินี่ยุ่งไปหมดเลย”
ไม่ปฏิบัตินั่นน่ะของไร้ค่า สวะ ชีวิตนี้ใช้เหมือนขยะลอยไปตามวัฏฏะ รอวันสิ้นชีวิต แต่ถ้ามันจะปฏิบัติมันก็ต้องฝืน ต้องสู้ต้องทน ต้องทำคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดี เวลาปฏิบัติไปแล้ว พอผ่านจุดนี้ไปได้มันก็ผ่านไปเรื่อยๆ โอ้โฮ! เห็นคุณค่าเลยนะ บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรคสกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล๔ นิพพาน ๑ การก้าวเดินของจิต บุคคล ๔ คู่ เป็นบุคคล ๘ จากคนคนหนึ่ง จากคนที่ไร้ค่า มันพัฒนาขึ้นไปเป็นบุคคล ๔ คู่ สถานะทางสังคมมันได้ขึ้นมาเลย จากยศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งขึ้นไปเลย บุคคล ๔ คู่ ถ้าทำได้มันเป็นประโยชน์ขนาดนั้นน่ะ ถ้าไปข้างหน้า
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ข้อสงสัยในการนั่งสมาธิ
เรากลับมาทำความสงบของใจ สิ่งที่ได้ยินมาแล้วมันเคยประสบการณ์หนหนึ่ง อย่างนี้มันคิดแบบวิทยาศาสตร์ไง วิทยาศาสตร์ ฝากเงินไว้ในธนาคาร ๕บาท มันก็อยู่ในธนาคาร ๕ บาทตลอดไป แต่นี่เวลาเป็นสมาธิ ขณิกสมาธิก็เหมือน ๕ บาท พอออกจากสมาธิ หมดเลย ๕ บาทนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ไม่มี
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่รับรู้มันเป็นนามธรรมทั้งนั้นน่ะ แต่พอเราจะคิดเป็นวิทยาศาสตร์ไง ได้ยินแล้วก็คือได้ยินตลอดไป อะไรก็ได้ยินตลอดไป
ก็ได้ยินก็คือผ่านไปแล้ว เสียงที่จะมาได้ยิน แล้วเสร็จแล้วเราเอาความสงบของเราปฏิบัติ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง สมาธิธรรม ปัญญาธรรม เราปฏิบัติของเราเพื่อความจริงของเรา
นี่วิธีแก้ไง แล้วทีนี้แก้อย่างไร ให้แนะนำ
ให้แนะนำคือวางให้หมด เวลาเราจะปฏิบัติ สิ่งที่เคยได้ยินเสียงอะไรมา วางให้หมดเลย เริ่มต้นใหม่ ศูนย์ ลบหมดเลย แล้วเริ่มต้นนั่งให้ดี แล้วค่อยๆ ทำค่อยๆ จางไปๆ จนกว่าสิ่งที่เข้ามากวนมันจะจบลง แล้วเราเริ่มต้นของเราใหม่ พุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มรณานุสติ ระลึกถึงความตายก็ได้ อะไรก็ได้ เอาสิ่งที่ว่าไม่ให้กิเลสมันตามทันน่ะ แล้วถ้ามันไม่ได้ ความคิดความคิดก็ตรึกในธรรมเสีย ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ รักษาของเรา ดูแลของเรา ถ้ามันถูกต้องดีงามแล้วมันจะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนจะรู้ ตนจะเห็น ตนจะพัฒนาการ ตนจะมั่นคง แล้วต่อไปนะ ถ้าหัวใจที่สูงส่งแล้วจะไปสอนคนอื่นเลย“อ๋อ! เมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนี้” ถ้าปฏิบัติไปแล้วนะ “เมื่อก่อนตุบๆ ตุบๆ เราก็ได้ยินมาแล้ว” แต่ตอนนี้หันรีหันขวางเลย
แต่ถ้าพัฒนาไปแล้วนะ จะไปสอนเขาได้หมดเลย จิตใจที่สูงกว่า จิตใจที่เคยผ่านมาแล้วมันจะเข้าใจหมด เสียงกรณีนี้ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาแล้ว ท่านรู้แล้ว ฉะนั้น เราก็ปฏิบัติของเรา ทำความจริงของเราให้เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง